นวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพ - การกดจุดนวดฝาเท้า
   
เมนู
  หน้าแรก
  เกี่ยวกับเรา
  VCDการนวดฝ่าเท้า
  อุปกรณ์การนวดเท้า
  การชำระเงืน
  ติดต่อเรา
  เว็บบอร์ดนวดฝ่าเท้า
  ประวัติการนวดฝ่าเท้า
  ประโยชน์การนวดฝ่าเท้า
  รู้จักการนวดฝ่าเท้า 1
  นวดฝ่าเท้า 2
  การนวดน้ำมัน
  นวดเชลยศักดิ์
  ผสมน้ำมันนวดใช้เอง
  การกดจุดนวดฝาเท้า
  7วิธีผ่อนคลายฝ่าเท้า
  วิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตนเอง
  การนวดผ่อนคลายฝ่าเท้า
  ลูกประคบสมุนไพร
  นวดแผนไทยกับหมอแดง

การนวดฝ่าเท้า กดจุดลมปราณ

 
การนวดฝ่าเท้า

การนวดฝ่าเท้า

“หลายพันปีที่ผ่านมา การนวดฝ่าเท้าได้ถูกแพทย์จีน หมอชาวจีนนำมาเสริมสร้างสุขภาพ บำบัดโรคให้กับชาวจีนอย่างต่อเนื่องมาตลอด และได้ถ่ายทอดวิชาชีพนี้ให้กับลูกหลานในตระกูลสืบทอดตลอดมาถึงปัจจุบัน”

ประวัติความเป็นมาของการนวดฝ่าเท้าสากลของโลก และที่ประเทศจีน วิชาการนวดฝ่าเท้าเพื่อการบำบัดรักษาอาการเจ็บปวดมีประวัติยาวนานมากว่า 4-5 พันปี

  • ที่ประเทศจีน ต้นตำรับตำราแพทย์จีน “หวานตี้เน่ยจิง” ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อประมาณ 5 พันปีก่อน นอกจากเขียนบันทึกเกี่ยวกับลมปราณและจุดต่าง ๆ ที่ฝ่าเท้า รวมทั้งวิธีการนวดการบำบัด
  • สมัยราชวงศ์ฮั่น (ประมาณ 2 พันปีก่อน) หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ของ ซีม่าเซียง ได้กล่าวถึงแพทย์จีนชื่อ อีฟู่ ปกติจะไม่เน้นใช้ยาสมุนไพรในการทำการบำบัดรักษา จะทำการรักษาโดยการนวดฝ่าเท้า เวลานวดสัมผัสถูกเขตสะท้อนตามฝ่าเท้าก็สามารถวินิจฉัยอาการโรคได้ทันที

ทฤษฎีเกี่ยวกับการนวดฝ่าเท้า

เขตสะท้อนคืออะไร

เขตสะท้อนเป็นจุดรวมประสาท บ้างเป็นจุดปลายประสาท กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ รอบนอกของร่างกาย จากประสบการณ์ค้นพบของมนุษย์สมัยโบราณพบว่า ที่ฝ่าเท้าของมนุษย์มีเขตสะท้อนกระจายทั่ว แต่ละเขตมีเกี่ยวสัมพันธ์กับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายกล่าวคือ ถ้าหากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายทำงานบกพร่อง เกิดมีอาการผิดปกติ เช่น อาการเจ็บปวดจะส่งผลสะท้อนไปถึงเขตสะท้อนที่ฝ่าเท้า เกิดมีอาการผิดปกติตามมา เช่น รูปทรงผิดรูปแบบหรือนวดสัมผัสถูกจะเกิดมีอาการเจ็บปวด เช่นเดียวกันในเวลาที่เขตสะท้อนที่ฝ่าเท้าเกิดมีอาการผิดรูปแบบ หรืออาการเจ็บปวด ก็จะส่งผลสะท้อนไปถึงอวัยวะภายในร่างกายที่เกี่ยวสัมพันธ์ ทำให้เกิดมีอาการเจ็บปวด หรือปฏิบัติหน้าที่บกพร่องตามมา

ความสำคัญของการนวดเขตสะท้อนฝ่าเท้าต่อสุขภาพ

ฝ่าเท้าทั้งสองข้างเป็นบริเวณที่ห่างไกลจากหัวใจที่สุด เป็นบริเวณที่กระจายปลายสุดของเส้นโลหิตฝอยแดง และเส้นโลหิตฝอยดำและเส้นประสาท ฉะนั้นบริเวณดังกล่าวนี้มีความดันเลือดที่ต่ำสุด การไหลเวียนของเลือดจะอ่อนพลังไหลเวียนช้าสุด

“แต่อวัยวะ 2 ข้างฝ่าเท้านี้กลับมีบทบาทหน้าที่สำคัญมากต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์”

ร่างกายมนุษย์มีกระดูก 206 ชิ้น ข้อต่อ 100 ชิ้น บริเวณ 2 ข้างมีสัดส่วนของกระดูก 55 ชิ้น ข้อต่อ 33 ข้อ ฝ่าเท้า 2 ข้างมีเขตสะท้อนที่กระจายอยู่ 62 เขต หรือ 64 เขต แต่ละข้างฝ่าเท้ามีเซลล์ของปลายประสาทรับความรู้สึก 7,200 ตัว ฝ่าเท้า 2 ข้างยังเป็นที่กระจายของเส้นลมปราณเท้า 6 เส้น และจุดต่าง ๆ ของเส้นลมปราณเหล่านี้รวม 38 กว่าจุด ซึ่งเส้นลมปราณเหล่านี้พร้อมจุดต่าง ๆ มีส่วนเกี่ยวสัมพันธ์กับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายสรุปได้ว่า ฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของประสาทร่างกาย เป็นเงาสะท้อนสุขภาพร่างกาย

อวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งกลไกต่าง ๆ ที่ 2 ข้างฝ่าเท้าเมื่อไม่ได้รับเลือดมาไหลเวียนหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากประสิทธิภาพงานจะตกต่ำหรือกระทั่งเกิดอาการบกพร่องเกิดอาการเจ็บปวด ยังส่งผลทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่เกี่ยวสัมพันธ์เกิดการทำงานบกพร่องหรือเจ็บปวดตามมา และส่งผลทำให้เลือดไหลเวียนในระบบหลอดเลือดสูญเสียความเป็นระเบียน ทำให้ทั่วทั้งร่างกายสูญเสียความสมดุล

การนวดกดจุดตามเส้นลมปราณ

คนจีนค้นพบเกี่ยวกับระบบเส้นลมปราณในร่างกายมนุษย์มีเวลายาวนานกว่า 5 พันปี เมื่อ 5 พันปีก่อนหนังสือต้นตำหรับการแพทย์แผนจีน “หวดตี้เน่ยจิง” ก็เริ่มมีบันทึกเกี่ยวกับระบบเส้นลมปราณในร่างกายมนุษย์ ปัจจุบันระบบเส้นลมปราณได้ถูกแพทย์จีนนำมาใช้เป็นประโยชน์เป็นตำราพื้นฐานของวิธีบำบัดต่าง ๆ ในการบำบัดโรค เช่น การเช็คตรวจสุขภาพร่างกายด้วยการเช็คตรวจชีพจร พร้อมการใช้ยาสมุนไพรบำบัดอาการโรคต่าง ๆ การฝังเข็ม การนวดแบบทุยหนา การนวดกดจุดตามเส้นลมปราณ การวางถ้วยดูดระบบสุญญากาศ

2 พันกว่าปีก่อนผู้ปฎิบัติลัทธิเต๋าในประเทศจีน ได้เรียนรู้ถึงหน้าที่สรีรวิทยาและประโยชน์ของระบบเส้นลมปราณ จุดลมปราณ แล้วนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการนวดกดจุดลมปราณ เพิ่มเสริมสร้างสุขภาพและขจัดแก้ไขอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นตามจุดลมปราณในร่างกาย วิชาชีพนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ทฤษฎีเกี่ยวกับระบบเส้นลมปราณ

ทฤษฎีระบบเส้นลมปราณ คือ การศึกษวิจัยการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาและการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาของระบบเส้นลมปราณ และความสัมพันธ์กันระหว่างระบบเส้นลมปราณกับอวัยวะภายในร่างกาย

ระบบเส้นลมปราณ คือ ระบบโครงข่ายของเส้นลมปราณหลัก และเส้นลมปราณย่อยที่เชื่อมโยงอวัยวะภายในและร่ายกายส่วนนอก คือ ผิวหนัง เอ็น กระดูก อวัยวะรับรู้ เป็นต้น

ลมปราณหลักแบ่งเป็นลมปราณปกติ 12 เส้น และลมปราณพิเศษ 8 เส้น

เส้นลมปราณปกติ 12 เส้น เป็นเส้นลมปราณหลักที่แต่ละเส้นกระจายผ่านและเชื่อมโยงกับอวัยวภายใน 1 ชนิด คือ ปอด หัวใจ เยื่ออุ้มหัวใจ ลำไส้ใหญ่ซานเจียว ลำไส้เล็ก ม้าม ตับ ไต กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ โดยแบ่งเป็นเส้นลมปราณมือ 6 เส้น เส้นลมปราณเท้า 6 เส้น

เส้นลมปราณปกติ 12 เส้น ยังแตกแขนงเป็นเส้นลมปราณย่อยต่าง ๆ โดยมี

เส้นลมปราณหลักแขนง 12 เส้น ทำหน้าที่หลักเชื่อมโยงคู่เส้นลมปราณปกติแบบคู่นอกใน และเชื่อมโยงเส้นลมปราณปกติกับอวัยวะเนื้อเยื่อและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

เส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้น เส้นลมปราณเหล่านี้จะแตกต่างกับเส้นลมปราณปกติ คือ ไม่เชื่อมโยงกับอวัยวะภายในจึงไม่มีความสัมพันธ์แบบคู่นอกใน เส้นลมปราณพิเศษมีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างเส้นลมปราณปกติ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันแนบแน่นยิ่งขึ้น และปรับสมดุลลมปราณและเลือดในเส้นลมปราณปกติ

เส้นลมปราณย่อย

เส้นลมปราณย่อยใหญ่ 15 เส้น (12 เส้นแยกจากเส้นลมปราณปกติ 12 เส้น บวกด้วยเส้นลมปราณคู่ 1 เส้น ลมปราณเริ่ม 1 เส้น และเส้นลมปราณย่อยใหญ่ของม้าม) ทำหน้าที่เสริมสร้างความสัมพันธ์กับแบบคู่นอกใน และเชื่อมโยงลมปราณบริเวณด้านหน้าร่างกายกับด้านหลังและด้านข้างเพื่อปรับสมดุล ในเส้นลมปราณ

เส้นลมปราณย่อยตัน ซึ่งเป็นเส้นลมปราณอยู่ที่ส่วนนอกของร่างกาย

เส้นลมปราณย่อยฝอย เป็นเส้นลมปราณขนาดเล็กละเอียดสุด

เอ็น 12 แห่ง คือ เอ็นกล้ามเนื้อและกระดูกทั่งร่ายกายเชื่อมโยงกับเส้นลมปราณปกติ 12 เส้น ควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อ

ผิวหนังถูกแบ่งเป็น 12 เส้น เป็นสาขาส่วนหนึ่งของเส้นลมปราณปกติ 12 เส้นในร่างกาย เนื่องจากลมปราณปกติ 12 เส้นยังแตกเป็นสาขาย่อยต่าง ๆ ลมปราณย่อยต่าง ๆ เหล่านี้จะกระจายสู่เปลือกนอกผิวหนังของร่างกาย และเชื่อมโยงกับผิวหนัง 12 เส้น ผิวหนัง 12 เส้นนี้จึงมีหน้าที่ทางสรีระวิทยาดังเส้นลมปราณต่าง ๆ คือ ทำหน้าที่ลำเลี้ยงเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยสะท้อนอาการต่าง ๆ ขออวัยวะที่เกี่ยวพันรวมทั้งช่วยปรับการปฏิบัติหน้าที่งานของอวัยวะต่าง ๆ เข้าสู่สมดุล

นอกจากเส้นลมปราณยังมีจุดต่าง ๆ ของเส้นลมปราณต่าง ๆ รวม 409 จุดที่กระจายทั่วทั้งร่างกาย จุดลมปราณเป็นจุดตำแหน่งพิเศษเป็นศุนย์ของอวัยวะภายใน เส้นลมปราณและการไหลเวียนของเลือดลม สะท้อนอาการสู่เปลือกนอกร่างกาย และเป็นจุดที่สามารถนำมาใช้บำบัดอาการโรคโดยการฝังเข็ม นวดกดจุดหรือวางถ้วยดูดเพื่อปรับร่างกายเข้าสู่สมดุล

ข้อควรระมัดระวังเกี่ยวกับการนวดฝ่าเท้า และนวดกดจุดตามเส้นลมปราณ

กรณีที่ไม่ควรนวด

  1. ขณะร่างกายอ่อนเพลียมาก มึนงงหรือเมาสุรา
  2. สตรีระหว่างมีประจำเดือนและช่วงตั้งครรภ์
  3. กระดูกหักหรือผิดรูป
  4. ผู้ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเช่น โรคไข้เลือดออก โรคไข้มาลาเรีย โรคเอดส์
  5. ผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด สุนัขบ้ากัด แมลงมีพิษร้ายต่อย ถูกแก็สพิษ สารพิษจากยาและสุรา
  6. ผู้ป่วยที่มีอาการเลือดออกหรือมีอาการอักเสบจากโรคที่กำลังเป็นอยู่ หรือจากความบกพร่องของร่างกาย

ข้อแนะนำ

  1. หลังการนวดทุกครั้งควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วประมาณ 300-500 ซีซี แต่ไม่ควรดื่มน้ำเย็น ล้างเท้า อาบน้ำ สระผมทันที ควรทั้งช่วงอย่างน้อย 30 นาที
  2. ปกติให้นวดวันละ 1 ครั้ง แต่ถ้าทำเพื่อบำบัดโรคสามารถนวดได้วันละ 2-3 ครั้ง
 
   
Today, there have been 6 visitors (32 hits) on this page!
webmaster by วาทการ ศิลาโรจน์ 247/3 หมู่7 ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง ระยอง 21130 E-mail: watakarns@hotmail.com This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free